วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เอกสารประกอบการเดินทาง ในการขับรถจากประเทศไทย- มาเลเซีย - สิงค์โปร

เอกสารประกอบการเดินทาง ในการขับรถจากประเทศไทย- มาเลเซีย - สิงค์โปร

ก่อนที่จะเดินทาง ต้องเตรียมเอกสารดังนี้นะครับ
1. หนังสือเดินทางก่อนหมดอายุ 6 เดือน
2. สำเนาทะเบียนรถยนต์ (สำเนาสมุดจดทะเบียนรถยนต์ )ภาษาไทย
3.ใบแปลสมุดจดทะเบียนรถยนต์เป็นภาษาอังกฤษ (ออกโดยขนส่ง)
4.ใบขับขี่นานาชาติ หรือ ใบรับรองใบขับขี่ (ออกโดยขนส่ง)
5.ใบยินยอมให้นำรถออกนอกประเทศได้ เป็นภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษก็ได้
6.หลักฐานอื่นๆ เช่น สำเนาบัตรประชาชน


คราวนี้มาเริ่มรายละเอียดกันเลยนะครับ สำหรับหนังสือเดินทางต้องเป็นหนังสือเดินทาง ก่อนหมดอายุ 6 เดือนนะครับ สำเนาทะเบียนรถยนต์ภาษาไทย จะใช้ตอนขอนำรถยนต์ออกนอกประเทศไทยนะครับ ในกรณีที่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ต้องม ีใบยินยอมจากเจ้าของรถยนต์ให้นำรถยนต์ออกนอกประเทศก่อนนะครับ ถ้าเจ้าของรถยนต์เป็นไฟแนนซ์ ก็จะยุ่งยากครับ เพราะไฟแนนซ์มักไม่ยอมเซ็นต์หนังสือให้เอารถออกนอกประเทศครับ รถก็รถเรา ผ่อนเราก็ผ่อนทุกเดือน เสือกจะไม่ให้อีก เฮ้อ...

ในกรณีนี้ ที่ศุลากากรของไทยในด่านสะเดาเขาจะไม่เคร่งครัดมาก เพราะหากผู้ที่จะนำเอารถออกนอกประเทศ เป็นผู้ครองครองรถเอง ก็สามารถแสดงสำเนาบัตรประชาชน พร้อมสำเนาทะเบียนรถยนต์ ก็สามารถนำรถออกนอกประเทศได้เลย หรือกรณีที่ผู้ที่จะนำรถออกนอกประเทศ แต่ไม่ได้เป็นผู้ครองครองรถ ก็สามารถให้ผู้ครอบครองรถทำหนังสือยินยอมให้นำรถออกนอกประเทศได้ โดยแนบสำเนาบัตรประชาชน ของผู้ครอบครองรถ พร้อมทั้งหนังสือยินยอมไปพร้อมกันด้วยครับ ซึ่งแบบฟอรม์ดังกล่าวร่างเองก็ได้ครับ เขียนให้ชัดเลย เขียนที่ไหน... วันที่เท่าไร....ข้าพเจ้า นาย ... อยู่บ้านเลขที่... เจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถยี่ห้อ... หมายเลขทะเบียน... หมายเลขเครื่อง... สี... ยินยอมให้นาย... หมายเลขบัตรประชาน... อยู่บ้านเลขที่... นำรถออกนอกประเทศไทยเพื่อไปท่องเที่ยวยังประเทศ มาเลเซียและสิงค์โปรได้ พิมพ์ให้สวยงามเลยครับ แล้วก็อย่าลืมสำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถหรือผู้ครองครองรถ พร้อมลายเซ็นต์แนบมาด้วยนะครับ

เอกสารอื่นๆ ก็มีใบขับขี่สากล หรือ ใบรับรองใบขับขี่เป็นภาษาอังกฤษ (เป็นบัตรแข็งรุ่นใหม่ได้เลยครับเพราะมีภาษาอังกฤษ กำกับอยู่แล้ว) อย่างหลังนี่ก็ใช้ได้นะครับ ใช้ได้ในประเทศกลุ่มอาเซียนทั้งหมด ค่าธรรมเนียมในการขอ 25 บาทเอง ถูกกว่าใบขับขี่สากลตั้งเยอะ ผมไปขอที่กรมการขนส่งทางบก หมอชิต แต่เข้าใจว่าขนส่งในกรุงเทพทำใบนี้ได้หมดนะครับ ที่หมอชิตอยู่ชั้นเดียวกับที่ทำใบขับขี่สากลเลยครับ อาคาร 4 ชั้น 2 เอกสารก็ใบขับขี่ตัวจริง รูปถ่าย 1 นิ้ว 2 รูป ทะเบียนบ้าน และก็สำเนาพาสปอรต์ กรณีมอบอำนาจก็แนบหนังสือมอบอำนาจมาด้วยครับ

และอีกอย่างที่สำคัญมากก็คือ ใบแปลสำเนาทะเบียนรถยนต์เป็นภาษาอังกฤษ ใบนี้ขอที่ขนส่งที่เรามีต้นขั้วทะเบียนอยู่นะครับ เช่น รถชลบุรี ก็ไปขอที่ขนส่งชลบุรี รถของกรุงเทพก็ดูว่าอยู่เขตไหน ก็ไปขอที่เขตนั้น เช่นรถของผม บ้านของผมอยู่เขตบางซื่อ ต้นขั้วทะเบียนอยู่ที่ขนส่งหมอชิต ผมก็ต้องไปขอใบนี้ที่ขนส่งหมอชิต รถเพื่อนผม บ้านอยู่มีนบุรี เขาก็ต้องไปขอที่ขนส่งมีนบุรี แต่ที่ขนส่งจังหวัดสงขลา สามารถแปลได้หมดทุกเขตนะครับ เพราะถือว่าเป็นจังหวัดชายแดน เอกสารที่ใช้ประกอบก็คือ สมุดจดทะเบียนรถยนต์ตัวจริงนะครับ สำเนาบัตรของเจ้าของรถ และกรณีการมอบอำนาจให้ผู้อื่น ไปดำเนินการแทน ต้องมีหนังสือมอบอำนาจด้วย

กรณีที่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์เอง ก็ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรถยนต์ก่อนนะครับ ไม่งั้นขนส่งเขาจะใจร้ายไม่ออกใบรับรองเป็นภาษาอังกฤษให้ครับ กรณีที่เจ้าของรถยนต์เป็นไฟแนนซ์ก็ยุ่งอีกอะครับ เพราะการแปลสมุดจดทะเบียนต้องใช้หลักฐานตัวจริง ขนส่งถึงจะแปลให้ และสมุดตัวจริงก็ไฟแนนซ์เก็บรักษาอยู่ ลองไปถามไฟแนนซ์ดูนะครับ ว่าขอยืมสมุดตัวจริงมาได้ไหม ถ้าเขาให้ยืมมาได้ก็ดีไป แต่ถ้าเขาไม่ให้ยืม ก็อย่าไปตกใจอะไรครับ ขอให้มุ่งมั่นที่จะไปอย่างเดียว ทุกปัญหามันก็ต้องแก้ไขได้ เพื่อนๆ ของผม รถติดไฟแนนซ์กันทั้งงั้นครับ และไฟแนนซ์ก็ไม่ให้ยืมสมุด แต่ก็ไปกันได้ครับ อิอิอิ

อีกเรื่องก็คือต้องตัดสติ๊กเกอร์ติดทะเบียนรถยนต์เป็น ทะเบียนสากลด้วย นะครับ สมมุติรถของผม ทะเบียน ภน 9999 กทม. ทะเบียนสากลก็แปลเป็น dW 9999 BKK ซึ่งการเทียบหมวดอักษรทางกรมการขนส่งจะเป็นคนเทียบให้ครับ แล้วเราก็ไปตัดสติ๊กเกอร์ ให้สวยงามตามใจชอบ แต่ของผมใช้พื้นเป็นสีดำ แล้วตัวภาษาอังกฤษเป็นสีขาว เพราะว่ามันเห็นชัดดี

เอาละ เมื่อเตรียมเอกสารที่ว่ามาทั้งหมดเรียบร้อย ก็มาเริ่มที่ขั้นตอนในการออกนอกประเทศทันที อ้อ.. ต้องแลกเงินมาเลเซีย และสิงค์โปรเลยนะครับ เพราะเมื่อเราข้ามพ้นพรมแดนไทยไปยังมาเลเซียเมื่อไร ต้องใช้เงินริงกิต ของมาเลเซียทันทีครับ เช่นเดียวกัน เมื่อเราข้ามพ้นพรมแดนมาเลเซียเข้าสู่สิงค์โปรเมื่อไร ก็ต้องใช้เงินดอลล่าร์ของสิงค์โปรทันทีครับ

เมื่อไปถึงด่านสะเดา ก็เขียนแบบฟอรม์ออกนอกประเทศนะครับ นำแบบฟอรม์ออกนอกประเทศ พร้อมหนังสือเดินทางไปให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของไทยประทับีตรานะครับ หลังจากนั้นคนขับรถหรือเจ้าของรถก็เอาสำเนาทะเบียนรถยนต์ภาษาไทยนะครับ พร้อมหลักฐานใบยินยอมให้ออกนอกประทศไปให้ศุลลากรตรวจสอบ เราก็เซ็นต์ชื่อตามที่เขาบอกนะครับ หลังจากนั้นเขาก็จะออกเอกสารในการให้เรานำรถออกนอกประเทศมาให้เรา 1 ใบ เราเก็บไว้ให้ดีนะครับ ในกรณีที่ขากลับเข้ามา ต้องคืนใบนี้ให้กับทางศุลกากร เพื่อยืนยันว่า รถกลับเข้าไทยแล้ว

ตรง ด่านฝั่งไทยผู้โดยสารทุกคนต้องใช้เอกสาร คือ หนังสือเดินทาง พร้อมทั้งแบบฟอรม์ออกนอกประเทศ (ขอรับแบบฟอรม์ได้ที่ทำการของตม.ครับ) สำหรับคนขับรถหรือเจ้าของรถ ต้องใช้ สำเนาทะเบียนรถยนต์เป็นภาษาไทย ใบยินยอมให้นำรถออกนอกประเทศ สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถ หรือผู้ครอบครองรถ

ย้ำอีกครั้ง อย่าลืมแลกเงินด้วยนะครับ เพราะเราต้องเริ่มใช้เงินมาเลยเซียทันที ที่ก้าวเข้าประเทศของเขานะครับ แลกไปเยอะหน่อยก็ดี เพราะจะต้องเติมน้ำมัน และก็ต้องเสียค่าทางด่วนด้วยครับ ค่าทางด่วนไปถึงสิงค์โปรประมาณ 900 บาท จ่ายทีละนิดหน่อย ฟังแล้วดูแพงนะครับ แต่ความจริง เราใช้ถนนของเขา ประมาณ 850 กิโลเมตรนะครับ คิดง่ายๆก็ตกกิโลเมตรละ 1 บาทนิดๆ

เมื่อผ่านด่าน ไทยไปแล้ว ก็ต้องไปเข้าด่านมาเลเซียนะครับ ลองนึกภาพเวลาเข้าช่องจ่ายเงินทางด่วนอะครับ เหมือนกันเปรี๊ยบเลย รถเราก็ต้องไปต่อแถวทีละคันๆ เราต้องไปขอแบบฟอรม์เข้าเมือง (IMMIGRATION FORM ) ที่ด่านตรงนั้นครับ เจ้าหน้าที่มาเลเซียเขาก็จะให้เราเอารถไปจอด ให้พ้นการกีดขวาง เพื่อให้รถคันที่เอกสารพร้อมผ่านไปก่อน เราก็เขียนให้ครบทุกช่องเลยนะครับ เมื่อเราเขียนเสร็จก็ยื่นใบเข้าเมือง เขาเรียกว่า IMMIGRATION FORM พร้อมหนังสือเดินทางนะครับ ให้กับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของมาเลเซียนะครับ พร้อมทั้งเสียค่าผ่านด่านประมาณ 30 บาทหรือ 3 ริงกิต นะครับ ต่อรถ 1 คันนะครับ เป็นอันว่า ขั้นตอนการเข้าประเทศมาเลเซียของทุกคนเป็นอันเสร็จพิธีครับ
ตรงด่านฝั่ง มาเลเซียผู้เดินทางทุกคนต้องใช้เอกสาร คือ หนังสือเดินทาง พร้อมทั้งแบบฟอรม์ออกนอกประเทศ (ขอรับแบบฟอรม์ได้ที่ช่องที่ผมบอกเหมือนช่องทางด่วนบ้านเรา ซึ่งเป็นช่องตรวจคนเข้าเมืองของตม.มาเลเซียได้เลยครับ)

ผ่าน จากด่านนั้นนิดเดียวไปก็จะมีการตรวจสิ่งของพอเป็นพิธี ลงไปเซย์ฮัลโหลกับ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของมาเลเซียที่พกปืนแปลกๆกันสักเล็กน้อยนะครับ เขาก็จะถามว่าจะไปไหนอะไรประมาณนี้ แต่อย่าไปพูดอะไรทะลึ่งนะครับ เช่นเขาถามคุณว่า where r u going?? คุณก็ตอบไปว่า เรื่องของกู อะไรอย่างนี้ไม่ได้นะครับ เพราะเขาพูดไทยได้ ฟังไทย ออก เห็นเขาบอกว่า หลายคนก็มีเมียเป็นคนไทยนะครับ อิอิอิ

เลยด่านนั้นไปนิดเดียวขอย้ำว่านิดเดียว โปรดสังเกตป้ายให้ดี จะอยู่ทางด้านขวามือ คนขับรถก็ต้องลงไปทำประกันภัยของมาเลเซียนะ ครับ รถทุกคันที่จะเข้ามาเลเซียต้องไปจอดทำประกันนะครับ ประกันก็เหมือน พรบ.ประเภท 3 บ้านเรานี่แหละครับ ถ้าใครไม่มีหากตำรวจตรวจเจอเขาก็จะปรับ ประมาณ 4000 บาทไทยนะครับ ตอนทำประกันคนขับรถต้องนำหลักฐานใบแปลทะเบียนรถยนต์ที่เป็นภาษาอังกฤษ และก็ใบขับขี่สากล หรือ ใบขับขี่ที่แปลมาไปแสดงกับบริษัทประกันภัยของมาเลเซียด้วยนะครับ

ตรง บริเวณนั้นจะมีบริษัทประกันหลายบริษัทให้เลือกนะครับ เลือกได้ตามใจชอบ ประเภทประกันก็จะมีแบบ 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน ให้เลือกนะครับ ราคาประกันก็ขึ้นอยู่กับซีซีของรถ รถของผม 2500 ซีซี ผมเลือก 1 เดือน 700 บาท นิดๆครับ

เมื่อเสร็จขั้นตอนกับบริษัทประกันเสร็จ เราก็ต้องนำเอาหลักฐานที่บริษัทประกันออกให้ พร้อมใบขับขี่และทะเบียนรถยนต์ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ ไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียนะครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซีย เขาก็จะออกป้ายวงกลมให้เรา 1 แผ่น นำมาติดหน้ารถนะครับ

ขั้นตอนการทำ ประกันภัยของประเทศมาเลเซียตรงนี้ก็ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใดเลยนะครับ ใช้เอกสารคือ ใบขับขี่ที่แปลแล้ว ทะเบียนรถยนต์ที่แปลแล้ว นำทั้ง 2 อย่างนี้ไปยื่นกับบริษัทประกันมาเลเซีย บริษัทประกันก็จะตรวจสอบเอกสาร พร้อมทั้งให้ใบกรรมธรรม์มา อีก 1 ชุด หลังจากเสร็จจากบริษัทประกัน นำหลักฐานทั้งหมดไปยื่นให้ตำรวจมาเลยเซีย ตำรวจมาเลยจะออกป้ายวงกลมมาให้ ขั้นตอนไม่ยุ่งยากครับ

จากนั้นเราก็โลดแล่นบนถนนของประเทศมาเลเซียได้อย่างสบายใจ เติมน้ำมันที่ถูกกว่าประเทศไทยซะให้เต็มถัง (ปั๊มน้ำมันแรกของมาเลเซีย อยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 5 กม ) ขับรถอย่างสบายอารมณ์แล้วเราจะรู้ว่า ถนนที่ดี สร้างเต็มจำนวนเงินที่ได้รับนั้นเป็นอย่างไร ผิดกับถนนเมืองไทยลิบลับครับ ....

เมื่อ โลดแล่นมาเรื่อยจนมาถึงชายแดนมาเลเซีย – สิงค์โปร เราก็ต้องนำหนังสือเดินทางพร้อมใบที่ตำรวจมาเลเซียเขาฉีกไว้ในพาสสปอร๖ของ เราออกมาเพื่อแสดงต่อ ตม. มาเลเซียอีกครั้งนะครับ เพราะเรากำลังจะออกจากประเทศมาเลเซีย เพื่อจะมุ่งหน้าไปสิงค์โปรครับ ตำรวจตม. ของมาเลเซียเขาก็จะประทับตราว่าเราออกนอกประเทศมาเลเซียเรียบร้อย

และ เมื่อไปถึงด่านสิงค์โปรก็แบบเดิมนะครับ เป็นช่องเหมือนทางด่วน เหมือนที่เราผ่านมาเลเซียมา เราก็ต้องขอแบบฟอรม์เข้าเมืองของเขาเหมือนเดิม เมื่อเรากรอกเสร็จก็ไปยื่นใบเข้าเมืองพร้อมหนังสือเดินทาง ให้ตำรวจตรวคนเข้าเมืองของสิงคโปร์เขาประทับตราเข้าเมืองเหมือนตอนเข้า มาเลเซียทุกอย่าง

โดยส่วนมากรถที่มาจากไทย เขาจะดูแลเป็นอย่างดีนะครับ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ศุลกากรของสิงค์โปรมาทำประกันรถยนต์ในประเทศสิงค์โปรให้ เราด้วยนะครับ เจ้าหน้าที่ของสิงค์โปร จะมาเดินขอป้ายวงกลม ไปเป็นหลักฐานด้วยนะครับ ถ้ารถใครแกะยาก ก็บอกเขาว่าแกะไม่ได้ แกะแล้วจะเสียเลย เขาก็จะเดินมาจดทะเบียนรถยนต์ไป ค่าประกันในสิงค์โปรประมาณ 800 บาทต่อ 1 เดือนครับ

ยังไม่หมดครับ เขาจะมีบัตรที่เรียกว่า auto pass card ขายให้เรา 1 ใบนะครับ ราคาประมาณ 200 บาท นิด ๆ ครับ บัตรนี้จะมีเงินไม่มาก เราต้องเอาไปเติมเงินที่ร้าน เซเว่นอีเลเว่น เพื่อที่จะเป็นการจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลสิงค์โปรนะครับ เช่น เราอยู่สิงค์โปร 3 วัน จันทร์ อังคาร พุธ เราก็ต้องเอาบัตรนี้ไปเติมเงินจำนวน 2100 บาท

เมื่อขากลับออกมาจาก ประเทศสิงค์โปร เมื่อมาถึงด่านตรวจก่อนออกนอกประเทศ เราก็ต้องเอาการด์นี้มารูดจ่ายภาษีให้รัฐบาลสิงค์โปรเค้าอะครับ เขาคิดวันละ 700 บาทไทย 30 เหรียญสิงค์โปรอะครับ แต่ถ้าเราอยู่สิงค์โปรในวันหยุดของเขา หรือเสาร์อาทิตย์ เราไม่ต้องจ่ายเงินส่วนนี้นะครับ เพราะฉะนั้นควรจะวางแผนการเดินทางให้ดีนะครับ เพื่อที่จะได้เซฟเงินตรงนี้ไปได้

ในสิงค์โปรจะมีปัญหานิดนึงนะครับ เพราะเราจะไม่สามารถขับรถในประเทศเขาได้ในเวลาเร่งด่วนนะ ครับ เขาจะมีบอกนะครับ ว่าถนนนี้ห้ามใช้เวลาใด เราใช้ได้เมื่อใด แต่ถ้าเราจะขับในชม.เร่งด่วนต้องมีบัตรหน้ารถคล้าย ๆ บัตรทางด่วนบ้านเราอะครับ ที่เวลาผ่านด่านทางด่วน ก็จะมีช่องเฉพาะบัตรทางด่วนให้ ระบบก็จะหักเงินโดยอัตโนมัติ ยุ่งยากครับ อย่าไปขับมันเลย นั่งรถไฟฟ้าง่ายกว่า แต่ถ้าวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดของเขาหรือหลัง 4 โมงเย็นของทุกวัน คุณจะขับรถไปที่ไหนในสิงค์โปรก็เชิญตามใจชอบ แต่ความเร็วเขาห้ามเกิน 90 กม. ต่อ ชม . นะครับ

เรื่อง เอกสารการเข้าออกเมืองก็มีแค่นี้ ไม่ยุ่งยากมากนะครับ ขอให้ทุกท่านที่มีความฝันเหมือนเช่นผมจงเดินทางไปถึงสิงค์โปรโดยสวัสดิภาพนะ ครับ อืมม เดี๋ยวนี้มองแผนที่ทีไร เห็นประเทศสิงค์โปร มองขึ้นมายังมาเลเซีย ประเทศไทย เฮ้อ.. อดภูมิใจไม่ได้ว่า ตรงนี้เราเคยขับรถไปมาแล้ว ถ้ามีสะพานข้ามไปอินโดนีเซียได้ ผมก็จะไปต่อครับ ..

ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบ ROAD TRIP THAILAND- MALAYSIA- SINGAPORE

ภูมิพิช ชมชื่น
pumipitch@hotmail.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น